หมวดที่ 1
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ 1 | มูลนิธินี้มีชื่อว่า มูลนิธิรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ย่อว่า ม.ร.สว. และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Princess Srinagarindra Award Foundation under the Royal Patronage ย่อว่า P.S.A.F. |
ข้อ 2 | เครื่องหมายของมูลนิธินี้ คือ รูปตราประจำพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีอักษรภาษาไทยคำว่า มูลนิธิรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพระบรมราชูปถัมภ์ อยู่ตรงกลาง |
ข้อ 3 | มูลนิธินี้จัดตั้งขึ้นโดยสภาการพยาบาล |
ข้อ 4 | สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ ณ สำนักงานสภาการพยาบาล อาคารนครินทรศรี เลขที่ 88/20 หมู่ที่ 4 ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 |
หมวดที่ 2
วัตถุประสงค์
ข้อ 5 | วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ |
5.1 เผยแพร่พระเกียรติคุณแห่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี | |
5.2 มอบรางวัลแก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติงาน และ/หรือ วิจัยดีเด่นทางด้านการพยาบาลอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติ | |
5.3 เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ | |
5.4 ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด |
หมวดที่ 3
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ 6 | ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ เงินสดจำนวน 22,731,096.13 บาท (ยี่สิบสองล้านเจ็ดแสนสามหมื่นหนึ่งพันเก้าสิบหกบาทสิบสามสตางค์) จากการบริจาคของสภาการพยาบาล |
ข้อ 7 | มูลนิธินี้อาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีดังต่อไปนี้ |
7.1 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรม หรือนิติกรรมอื่น ๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือ ภาระติดพันอื่นใด | |
7.2 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้ | |
7.3 ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ |
หมวดที่ 4
คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ 8 | กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ |
8.1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ | |
8.2 ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ | |
8.3 ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ | |
8.4 ไม่เป็นผู้มีชื่อเสียงเสื่อมเสียทางศีลธรรม | |
ข้อ 9 | กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ |
9.1 ถึงคราวออกตามวาระ | |
9.2 ตายหรือลาออกโดยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิ | |
9.3 ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับ ข้อ 8 | |
9.4 เป็นผู้มีความประพฤติ และปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออกโดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ |
หมวดที่ 5
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 10 | มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน แต่ไม่เกิน 35 คน กรรมการมูลนิธิประกอบด้วย |
10.1 ประธานกรรมการมูลนิธิ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | |
10.2 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 คือ นายกสภาการพยาบาล | |
10.3 รองประธานกรรมการ คนที่ 2 คือ อุปนายกสภาการพยาบาล คนที่ 1 | |
10.4 เลขาธิการมูลนิธิ คือ นายกสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ | |
10.5 เหรัญญิก และตำแหน่งอื่น ๆ ตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร | |
ข้อ 11 | ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการผู้เริ่มจัดตั้งมูลนิธิเป็นผู้เลือกคณะกรรมการมูลนิธิขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย กรรมการตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ ได้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อกรรมการมูลนิธิท้ายข้อบังคับนี้ |
ข้อ 12 | กรรมการมูลนิธิ นอกจากองค์ประธาน รองประธานคนที่ 1 รองประธานคนที่ 2 และเลขาธิการอยู่ในตำแหน่งวาระละ 4 ปี |
ข้อ 13 | เพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิได้เป็นไปโดยติดต่อกันเมื่อคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิได้ปฏิบัติหน้าที่มาครบ 2 ปี (ครึ่งหนึ่งของวาระการดำรงตำแหน่ง) ให้มีการจับสลากออกไปหนึ่งในสองของจำนวนกรรมการมูลนิธิที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการดำเนินงานมูลนิธิครั้งแรก และให้กรรมการมูลนิธิที่หมดวาระปฏิบัติหน้าที่กรรมการมูลนิธิต่อไป จนกว่านายทะเบียนจะได้แจ้งการรับจดทะเบียนกรรมการมูลนิธิชุดใหม่ |
ข้อ 14 | การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม |
ข้อ 15 | กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ หรือโดยการจับสลากในวาระแรก อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก |
ข้อ 16 | ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลง ให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่ตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการมูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่าง กรรมการมูลนิธิผู้ได้รับการแต่งตั้งซ่อมอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน |
หมวดที่ 6
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 17 | คณะกรรมการมูลนิธิมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการวางแผนและดำเนินงานทั้งปวง เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งการดูแลรักษาและการจัดการกิจการต่างๆ ของมูลนิธิตลอดจนการกำหนดนโยบาย การตราระเบียบต่างๆ ที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ การเลือกหรือแต่งตั้งซ่อมกรรมการมูลนิธิ การให้กรรมการมูลนิธิ (หรือเจ้าหน้าที่มูลนิธิ) คนใดพ้นจากตำแหน่งและการแต่งตั้งคณะกรรมการ และอนุกรรมการเพื่อดำเนินงานของมูลนิธิ |
หมวดที่ 7
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 18 | คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุก ๆ ปี ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมและต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม |
ข้อ 19 | การประชุมวิสามัญอาจมีได้เมื่อองค์ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้ |
ข้อ 20 | กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด |
ข้อ 21 | ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน องค์ประธานในที่ประชุมจะทรงมีพระราชวินิจฉัย |
ข้อ 22 | ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ องค์ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญ หรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุม ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือผู้สังเกตการณ์หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้ |
หมวดที่ 8
การเงิน
ข้อ 23 | องค์ประธานกรรมการมูลนิธิ และรองประธานกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกินหนึ่งแสนบาท ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วน ให้อยู่ในพระวินิจฉัยขององค์ประธานกรรมการมูลนิธิที่จะทรงอนุมัติให้จ่ายได้ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป |
ข้อ 24 | เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกินสองหมื่นบาท |
ข้อ 25 | เงินสดของมูลนิธิให้นำไปฝากธนาคารใดธนาคารหนึ่ง หรือสถาบันการเงินอื่นใด ที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน สุดแต่คณะกรรมการมูลนิธิเห็นสมควร |
ข้อ 26 | การสั่งจ่ายเงินในเช็ค หรือตั๋วสั่งจ่ายเงินจะต้องมีลายเซ็นรองประธานกรรมการ คนที่ 1 หรือผู้ทำการแทนและเหรัญญิกหรือกรรมการผู้รับมอบอำนาจลงนามร่วมด้วยทุกครั้ง |
ข้อ 27 | เมื่อผู้บริจาคเงินสมทบหรือได้เงินมาโดยวิธีอื่นๆ เหรัญญิกจะต้องทำใบรับเงินให้ไว้เป็นหลักฐานใบรับเงิน มีลายเซ็นรองประธานกรรมการ คนที่ 1 หรือผู้ทำการแทนร่วมกับลายเซ็นของเหรัญญิกด้วย |
ข้อ 28 | มูลนิธิจะต้องมีผู้เก็บรักษาบัญชีรายจ่าย บัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตลอดจนบัญชีอย่างอื่นที่จำเป็นเพื่อแสดงฐานะของมูลนิธิโดยถูกต้อง ทั้งนี้ จะต้องเก็บรักษาเอกสารใบสำคัญต่างๆ อันเกี่ยวกับการบัญชีไว้ให้ผู้สอบบัญชีตรวจและเป็นหลักฐานของมูลนิธิด้วย |
ข้อ 29 | ผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ต้องไม่เป็นกรรมการมูลนิธิ หรือลูกจ้างของมูลนิธิ |
ข้อ 30 | ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวกับการบัญชีของมูลนิธิและในการสอบบัญชีมีอำนาจสอบถามกรรมการมูลนิธิ และพนักงานใด ๆ ของมูลนิธิได้ |
ข้อ 31 | ให้ทำบัญชีงบดุลประจำปีซึ่งสิ้นสุดตามปฏิทิน เพื่อแสดงฐานะการเงินของมูลนิธิ เมื่อผู้สอบบัญชีรับรองแล้ว ให้เสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญของคณะกรรมการมูลนิธิ |
ข้อ 32 | การจ่ายเงินของมูลนิธิในกรณีใด ๆ เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมแล้วอาจพิจารณาจ่ายเป็นงวดได้ |
ข้อ 33 | ในการจ่ายเงินของมูลนิธิประจำปี จะเป็นงบประมาณประจำปีก็ได้ |
หมวดที่ 9
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
ข้อ 34 | การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้โดยที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และมีมติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติม ข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการ ที่เข้าประชุม |
หมวดที่ 10
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ 35 | การเลิกล้มมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายได้บัญญัติไว้แล้วให้มูลนิธินี้เป็นอันสิ้นสุดลง โดยมิต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเลิกในกรณี ดังต่อไปนี้ |
35.1 เมื่อกรรมการมูลนิธิมีมติให้เลิกกิจการด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมด | |
35.2 เมื่อมูลนิธิหากรรมการมูลนิธิให้ครบจำนวนตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับมิได้ | |
35.3 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าในกรณีใดๆ | |
ข้อ 36 | ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปด้วยเหตุใดก็ตามให้ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลือตกเป็นกรรมสิทธิแก่สภาการพยาบาล |
หมวดที่ 11
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 37 | การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิ โดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด |
ข้อ 38 | ในกรณีที่ข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยมูลนิธิในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ |
ข้อ 39 | มูลนิธิต้องไม่กระทำการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคล หรือคณะบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง |